@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 5 ธ.ค. 55

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 5 ธ.ค. 55

ปริมสวมแว่นดำเดินหน้าเครียดออกจากลิฟท์ตรงมาที่ล็อบบี้คอนโด ทนายพิสัยที่นั่งรออยู่ลุกขึ้นยืนรับ ปริมเดินมากระแทกตัวนั่งลง
“มีธุระอะไรกับฉันอีก อย่าดึงฉันเข้าไปวุ่นวายด้วยอีกเลย แค่นี้ขาฉันก็เหยียบอยู่ในตารางข้างนึงแล้ว”
“คุณได้เหยียบทั้งสองขาแน่ถ้าคุณพิสัยเปลี่ยนคำให้การ ยืนยันตามคำกล่าวหาของเจติยากับเพื่อน”
ปริมหงุดหงิด “มีธุระอะไรก็รีบพูดๆ มา”
“คุณพิสัยต้องการเงินประกันตัว”
“เงินเค้าไม่มีรึไง”

“มี แต่โดนอายัดไว้หมดเพราะโดนคุณต้นฟ้องถ้าคุณยอมช่วย คุณพิสัยฝากผมมาบอกว่าจะคืนทุกอย่างที่คุณอยากได้ทั้งหมด”
ปริมเงียบไปเพราะคิดว่าทุกอย่างจะได้จบไปสักที

ทนายความพิสัยขับรถมาจอดที่จอดรถย่านช็อปปิ้งเอาท์ดอร์ เขาลงจากรถเดินตรงไปที่ร้านกาแฟที่ปริมนั่งสวมแว่นดำรออยู่ ทนายเดินตรงเข้าไปหาแล้วให้ของบางอย่างกับปริม ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนที่ปริมจะรีบเดินออกมาจากร้านอย่างเร่งรีบ นวัชซึ่งนั่งอยู่ในรถกับตำรวจลูกน้องจับตามองอยู่



ปริมขับรถออกไปจากลานจอดรถ
นวัชสั่งลูกน้อง “ตามไป”
ตำรวจขับรถตามปริมไปห่างๆ

ปริมเดินเข้ามาในห้องล็อกเกอร์ชายในสปอร์ตคลับแล้วตรงเข้าไปที่ตู้ล็อคเกอร์หนึ่ง ผู้ชายที่อยู่ในห้องล็อคเกอร์หันมามองอย่างงงๆ ปริมไม่สนใจรีบหยิบกุญแจที่ได้จากพิสัยมาดูหมายเลขล็อกเกอร์ก่อนจะไขกุญแจเปิด
ตู้ล็อคเกอร์ พอเปิดตู้ล็อคเกอร์ออกเธอก็เห็นซองเอกสารเก็บไว้อย่างดี
ปริมรีบแง้มซองดูก็เห็นภาพลับของเธอบางส่วนและทรัมป์ไดรฟที่พิสัยเซฟรูปไว้ ปริมดีใจ พับซองเก็บใส่กระเป๋าถือทันทีแล้วปิดล็อคเกอร์ พอหันกลับไปปริมก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นนวัชกับตำรวจอีกนายยืนอยู่ข้างหลัง
นวัชยิ้มให้ “สวัสดีครับคุณปริม”
ปริมตกใจมาก “คุณมาทำอะไร”
“ผมตามทนายคุณพิสัยมา เลยพบว่าเค้ามาเจอกับคุณ แล้วให้ของบางอย่างกับคุณ แล้วคุณก็รีบมาที่นี่ทันที”
ปริมหลบสายตา คิดหาทางเอาตัวรอด
“ผมชักไม่เชื่อที่คุณกับคุณพิสัยให้การเอาไว้ ผมอยากให้คุณไปให้ปากคำเพิ่มเติมด้วยครับ” นวัชบอก
ปริมสวนทันที “ฉันพูดไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะพูดอีก”
“ขอดูเอกสารที่คุณเพิ่งเอามาจากล็อคเกอร์ได้มั้ยครับ”
ปริมหน้าซีดเผือดพร้อมกอดกระเป๋าถือไว้แน่น
“คุณไม่มีสิทธิ์ นี่มันของส่วนตัวของฉัน”
นวัชยิ้ม “ของส่วนตัวคุณทำไมมาอยู่ในห้องล็อคเกอร์ผู้ชายล่ะครับ”
ปริมหน้าเสียเพราะจนมุมเถียงไม่ออก เธอรู้สึกเครียดกลัวและอายที่ความลับจะแตก

ปริมนั่งร้องไห้ด้วยความอับอาย โดยมีนวัชนั่งกระอักกระอ่วนใจอยู่ตรงข้าม นวัชปิดซองเอกสารแล้วเลื่อนส่งคืนปริม
ปริมร้องไห้แล้วแว๊ดใส่ “สะใจคุณแล้วใช่มั้ย ได้หลักฐานสมใจมั้ยล่ะ”
นวัชหน้าเสีย “ผมขอโทษ แต่ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมรับรองว่าจะไม่ให้เรื่องนี้เสียหายมาถึงคุณเด็ดขาด”
“ฉันเสียจนไม่เหลืออะไรให้เสียอีกแล้ว”
“ทำไมคุณถึงไม่แจ้งความล่ะครับ”
“คุณเป็นผู้ชายก็พูดได้สิ ถ้าเป็นข่าวออกไป ฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง จะไปสู้หน้าใครได้ ฉันถึงต้องทนให้มันข่มขู่ หลอกใช้ จนฉันต้องเสียคุณต้นให้กับเพื่อนคุณไงล่ะ” ปริมร้องไห้ออกมา
นวัชพูดไม่ออก
“ฉันไปได้แล้วใช่มั้ย” ปริมคว้าเอกสารเดินฉับๆ ออกไปจากห้องแล้วปิดประตูโครม
นวัชได้แต่เงียบไปเพราะอดที่จะสงสารปริมไม่ได้

เจติยาและนิษฐาต่างอึ้งเมื่อนวัชเล่าเรื่องทั้งหมด ทั้งสามคนมาคุยกันอยู่ที่สวนสวยแห่งหนึ่ง เจติยาเงียบกริบมีสีหน้าเคร่งเครียดใช้ความคิดจนหลุดออกจากการสนทนาไป
“ตอนแรก ฐาก็โกรธเค้ามากนะคะ แต่พอได้ฟังยังงี้แล้วนอกจากจะโกรธไม่ลงแล้วยังสงสารด้วยซ้ำ”
เจติยาถอนใจออกมา “แล้วคดีของคุณปริมจะเป็นยังไงต่อคะ”
“คุณปริมเธอคงไม่ยอมพูดเรื่องที่โดนนายพิสัยแบล็คเมล์แน่นอน เพราะฉะนั้นเรื่องคดีก็คงต้องว่าไปตามกฎหมาย” นวัชถอนใจด้วยความสงสาร “น่าเห็นใจคุณปริมที่สุดเลย”
“ต้องคิดซะว่าเป็นกรรมเก่าล่ะค่ะ ทั้งสวยทั้งรวยแต่กลับโชคร้ายต้องกลายเป็นคนเลวทั้งที่ไม่ได้อยากเป็น” นิษฐาเห็นใจ
เจติยาสงสารมาก “คุณปริมเธอโชคร้ายมามากพอแล้ว ไม่ควรมีใครไปทำร้ายจิตใจเธอซ้ำเติมอีก” เจติยาน้ำตาไหลออกมา
นวัชและนิษฐาสบตากันเพราะยังไม่เข้าใจนักว่าเจติยาหมายถึงอะไร
“เจขอเดินเล่นเดี๋ยวนะคะ”
เจติยาลุกขึ้นแล้วน้ำตาก็ไหลมาอีก สีหน้าของเธอนิ่งขรึม แววตาเด็ดเดี่ยว เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว

นวัชขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาจอดที่หน้าบ้านเจติยา เขาถอดหมวกกันน็อคแล้วหันมองรถนิษฐาที่ขับตามมาจอดต่อท้าย เจติยามีท่าทางซึมๆ เดินลงมาจากรถ ทันใดนั้นลาภิณก็ขับรถมาจอดต่อท้ายรถนิษฐา ก่อนจะลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“กลับมากันพอดีเลย” ลาภิณยิ้ม
นิษฐาชำเลืองมองหน้าเจติยาอย่างไม่สบายใจนัก หลังจากคุยกับเจติยามาในรถจึงรู้ว่าเพื่อนคิดอะไรอยู่ลาภิณเปิดท้ายรถแล้วหยิบถุงใส่อาหารออกมา “วันนี้ผมซื้ออาหารมาเพียบเลย เดี๋ยวทานข้าวเย็นด้วยกันนะครับ” ลาภิณยิ้มแย้มให้นวัชและนิษฐา
เจติยาพูดหน้านิ่ง “เราไปนั่งรถคุยกันก่อนดีมั้ยคะคุณต้น”
ลาภิณงงๆ เล็กน้อย
นิษฐาเข้าไปช่วยถือถุงใส่ของ “ฐาเอาเข้าไปไว้ในบ้านให้ค่ะ”
ลาภิณเห็นสีหน้าเจติยาก็ไม่สบายใจแต่ก็เปิดประตูให้ “เชิญครับ”
เจติยาเข้าไปนั่งในรถ ลาภิณฝืนยิ้มให้นวัชและนิษฐาก่อนจะขึ้นรถแล้วถอยออกไป
“สงสารคุณต้นจริงๆ ไม่น่ามาวันนี้เลย” นิษฐาบอก
นวัชเดินมาหานิษฐา “ทำไมเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก เข้าบ้านกันเถอะ” นิษฐาหันไปกดกริ่ง
นวัชคว้าแขนนิษฐาให้หันกลับมาหาเขา
“คุยอะไรกันมาในรถ เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย” นวัชมีสีหน้าคาดคั้น
นิษฐาได้แต่ถอนใจยาว

ลาภิณปาดรถเข้าจอดข้างทางอย่างร้อนใจหลังจากฟังเจติยาจนจบ เจติยาปาดน้ำตาออก เพื่อเก็บอาการเอาไว้
ลาภิณเครียดมาก “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าปริมเค้าจะโดน...” ลาภิณหยุดพูดเล็กน้อย เพื่อเลือกใช้คำพูดที่ไม่รุนแรง “ข่มเหงแบบนั้น อาจจะเป็นแผนการให้พ้นความผิดก็ได้”
เจติยาเครียด “คุณพูดแบบนี้ ไม่ดูถูกคุณปริมเกินไปหน่อยเหรอคะ”
“ฉันไม่ได้ดูถูก แต่ฉันเห็นมากับตาตัวเอง” ลาภิณถอนใจ “เธอจำตอนที่วิญญาณฉันออกจากร่างได้มั้ย ฉันไปหาปริม แล้วก็ได้เห็นปริมอยู่กับน้าพิสัยกับตา ฉันถึงได้หายโง่”
“แน่ใจเหรอคะว่าที่คุณเห็นคือทั้งหมด ไม่ใช่แค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วคิดต่อไปเอง”
ลาภิณชะงักไปเล็กน้อย
“แต่ที่พี่หมวดเล่ามีหลักฐานยืนยัน คุณปริมเธอถูกบังคับให้ต้องทำเลวคุณไม่สงสารเธอเลยรึไง” เจติยาน้ำตารื้น “จริงๆ แล้วคุณปริมรักคุณมาก รักคุณไม่เคยเปลี่ยน”
ลาภิณและเจติยาหันมาจ้องตากัน
เจติยาน้ำตาคลอ “ถ้าฉันต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบคุณปริม ฉันก็คงทำเหมือนกับเธอ ฉันต้องทำทุกวิธีเพื่อรักษาคนรักของฉันเอาไว้ให้ได้” เจติยาน้ำตาไหล
“เธอกำลังจะบอกให้ฉันกลับไปหาปริมใช่มั้ย”
“คุณปริมคือผู้หญิงที่น่าสงสารและน่าเห็นใจที่สุดคนนึงที่ฉันเคยเจอมาในชีวิต” เจติยาน้ำตารื้นขึ้นมาอีกอย่างกลั้นไม่อยู่ “คุณก็คงไม่อยากซ้ำเติมคนที่รักคุณและคุณก็รักเธอมาก ให้ต้องเสียใจมากไปกว่านี้ใช่มั้ยคะ”
ลาภิณน้อยใจ “แต่ถ้าปริมเป็นเธอตอนนี้ เค้าคงไม่ตัดสินใจผลักไสฉันไปให้คนอื่นแน่”
เจติยาอึ้งๆ ไป
ลาภิณตัดพ้อ “แสดงว่าฉันคิดไปเองคนเดียว เธอยังไม่ได้ชอบฉันมากพอ”
เจติยาหลบสายตาไปก่อนจะตัดสินใจพูด “จริงๆ เราก็ไม่ได้เหมาะสมกันเลยในทุกๆ ด้าน”
ลาภิณหยุดกึก มองเจติยาแล้วรับฟังอย่างตั้งใจ
“เผอิญฉันเข้ามาในช่วงที่คุณไม่มีใคร” เจติยายักไหล่ “คุณก็เลยเกาะขอนไม้ท่อนนี้เอาไว้ เพื่อคุณจะได้ไม่ต้องจมน้ำ”
ลาภิณเงียบกริบเพราะคิดตาม
“ถึงเวลาที่คุณต้องปล่อยขอนไม้ให้มันลอยไปตามทางของมัน ส่วนคุณก็กลับขึ้นฝั่ง ไปอยู่ที่ที่คุณควรอยู่ได้แล้ว”
“เธอต้องการแบบนั้นจริงๆ ใช่มั้ย” ลาภิณจ้องหน้าเจติยารอฟังคำตอบ
เจติยาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างเพราะไม่กล้าสู้ตา “ปากฉันพูดยังไง ใจฉันก็คิดยังงั้น”
ลาภิณพยักหน้ารับทั้งที่เสียใจมาก เขาผุนผันออกไปจากรถแล้วปิดประตูโครม
เจติยาน้ำตาท่วมตาขึ้นมาก่อนจะพูดต่อเบาๆ “แต่ไม่ใช่ฉันไม่เสียใจ” เจติยาสะอื้น น้ำตาไหลพร้อมกับเบือนหน้าไปอีกทาง
ลาภิณยืนพิงประตูรถ พยายามสงบสติอารมณ์ สะกดความเสียใจเอาไว้

เวลาผ่านไป ลาภิณยืนซึม เขาถอนใจแล้วเปิดประตูรถก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแล้วปิดประตูโครม ลาภิณถอนใจออกมาแรงๆ ก่อนจะถอยรถออกไปจากซอย นทีวิ่งออกมาจากบ้านมามองตามแต่ก็เรียกไม่ทันแล้ว

เจติยาวิ่งกลับเข้ามาในห้องนอน เธอยกสองมือปาดน้ำตาแล้วสูดหายใจลึก พยายามจะเข้มแข็งให้ได้
เจติยาเดินมายืนมองหน้าตัวเองที่กระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
“จะร้องไห้ไปทำไม มันไม่ใช่อยู่แล้ว เราไม่ได้เหมาะสมกันเลย เค้าแค่เหงา ไม่มีใคร เดี๋ยวเค้าก็เจอคนอื่น” เจติยาสูดหายใจลึก “เสียใจตอนนี้ก็ดี เจ็บน้อยที่สุดแล้ว” เจติยามองหน้าตัวเองในกระจกนิ่ง ก่อนจะหมดแรงทรุดตัวลงนั่งแล้วถอนใจยาวออกมาอย่างเหนื่อยใจ

กลางคืน ลาภิณเอื้อมมือจะไปกดกริ่งที่หน้าห้องพักคอนโดของปริม แต่ก็ชะงักมือค้างไว้
ลาภิณเกิดลังเลขึ้นมาว่าจะเอายังไงดี ใจนึงก็ห่วงและสงสารปริม แต่อีกใจก็ยังไม่เชื่อปริมนัก และก็เริ่มหลงรักเจติยาจนตัดใจลำบาก ลาภิณนึกถึงตอนที่ตัวเองเป็นวิญญาณแล้วไปเห็นปริมคุยกับพิสัย ลาภิณถึงกับกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อเพราะโกรธแค้นปริมกับพิสัยอย่างที่สุด
/ ทันใดนั้นเสียงเจติยาก็ดังในหัว “แต่ที่พี่หมวดเล่ามีหลักฐานยืนยัน คุณปริมเธอถูกบังคับให้ ต้องทำเลว คุณไม่สงสารเธอเลยรึไง จริงๆแล้วคุณปริมรักคุณมาก รักคุณไม่เคยเปลี่ยน”
ลาภิณสงบสติอารมณ์เพราะสงสารที่ปริมต้องเจอเรื่องเลวร้าย เขาตัดสินใจกดกริ่ง ไม่มีเสียงตอบ ลาภิณกดกริ่งซ้ำแต่ก็ข้างในก็ยังเงียบ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรหาระหว่างรอปริมรับสายก็กดกริ่งซ้ำอีก เขาพบว่าปริมปิดมือถือ
ลาภิณตัดสินใจหยิบกระเป๋าเงินออกมาหยิบคีย์การ์ดสำรองที่เขามีออกมาแล้วเปิดประตูเข้าไป แล้วเขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นปริมนอนเสียชีวิต ในสภาพหน้าซีดเผือด ตาเบิกโพลง น้ำลายฟูมปากอยู่กลางโถงคอนโด
ลาภิณตกใจสุดขีด “ปริม”
ลาภิณรีบวิ่งเข้าไปประคองศพปริมขึ้นมา เขาเอามืออังลมหายใจแต่ปริมก็ไม่มีลมหายใจแล้ว ลาภิณกอดศพปริมเอาไว้ด้วยสีหน้าแววตาช็อค

ณ ลานจอดรถ โรงพยาบาล ลูกน้องพ่อของปริมเดินนำและรายล้อมป้องกันพ่อปริมขณะเดินกลับมาขึ้นรถที่ลานจอดรถ พิสัยที่ดักรออยู่รีบตรงเข้ามายกมือไหว้
“สวัสดีครับท่าน”
ลูกน้องรีบดาหน้ามาคุ้มกันทันที
“ผมพิสัยน้องชายพี่ชูจิตไงครับ”
พ่อปริมจำได้ “มีอะไร”
“ผมไม่รบกวนเวลาท่านนานหรอกครับ เพียงแต่ผมมีเรื่องเกี่ยวกับการตายของคุณปริม อยากจะเรียนให้ท่านทราบครับ”
พ่อปริมหน้าเครียด “เรื่องอะไร”
“ท่านคงยังไม่ทราบว่าสาเหตุที่คุณปริมเลิกกับคุณต้น”
พ่อปริมถอนใจ “มีอะไรก็รีบพูดมา เดี๋ยวนักข่าวแห่ตามมา ฉันขี้เกียจตอบคำถาม”
“ครับท่าน คือ คุณปริมทนความเจ้าชู้คุณต้นไม่ไหวเลยขอเลิกน่ะครับ”
ทันใดนั้นเงาของชูจิตก็ปรากฏขึ้นที่กระจกหน้าต่างรถที่จอดอยู่ข้างๆ แล้วจ้องมองพิสัยด้วยสีหน้าโกรธเคือง
พิสัยพูดต่อ “คุณปริมกับผมเริ่มมาคบหากัน คุณต้นเลยไม่พอใจมาก” พิสัยปั้นหน้าเศร้า “ผมไม่คิดเลยว่าคุณต้นจะทำกับคุณปริมได้ขนาดนี้”
วิญญาณชูจิตโกรธมาก
“โกหก เธอจะทำร้ายต้นไปถึงไหนพิสัย” ชูจิตหันไปพูดกับพ่อปริม แต่ไม่มีใครได้ยิน “อย่าไปเชื่อนะคะท่าน พิสัยต้องการจะยืมมือท่านทำร้ายต้น”
“คุณกำลังจะบอกว่าปริมถูกต้นฆ่าตายงั้นเหรอ” พ่อปริมถาม
“ท่านลองคิดดูสิครับ ว่าเค้าสองคนกำลังมีปัญหากัน แล้วคุณต้นก็เป็นคนไปเจอศพคนแรก ไม่มีพยานรู้เห็นด้วย มันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอครับ”
“ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง ในเมื่อคุณกับต้นมีเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ แถมคุณยังเป็นผู้ต้องหาฆ่าพี่สาวตัวเองด้วย”
พิสัยปั้นหน้าเศร้า “เรื่องพี่จิต ผมไม่ได้ทำจริงๆครับ ผมถูกจัดฉากใส่ความ จะให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้ คุณปริมเองก็รู้เรื่องนี้ดี ถึงได้ช่วยประกันตัวผมออกมาไงครับ ถ้าท่านไม่เชื่อ ลองไปเช็คดูก็ได้ครับ ถ้าคุณปริมไม่ไว้ใจผม จะยอมเสี่ยงเสียเงินตั้งหกล้านไปประกันตัวผมทำไม”
พ่อปริมหน้าเครียดเพราะใช้ความคิดหนัก
ชูจิตโมโหจนน้ำตาซึม “ทำไมแกถึงเลวได้ขนาดนี้พิสัย หยุดทำร้ายต้นซะทีเถอะ ฉันไม่น่าหลงผิดเลี้ยงงูเห่าอย่างแกเลย ฉันอยากจะฆ่าแกนัก”
วิญญาณชูจิตตรงเข้าไปจะบีบคอพิสัยแต่กลับทะลุร่างพิสัยไปและไม่สามารถทำอะไรพิสัยได้แม้แต่น้อย ชูจิตมีสีหน้าเคียดแค้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่ร้องไห้ออกมา พิสัยสะแหยะยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นพ่อปริมเริ่มจะคล้อยตามคำพูดตน

เช้าวันรุ่งขึ้น นักข่าวรออยู่หน้าโรงพักเต็มไปหมด พอนวัชเดินออกมา นักข่าวก็กรูกันเข้าไปสัมภาษณ์ทันที
“ขอโทษนะคะผู้หมวด ไม่ทราบว่าตอนนี้คดีคุณปริมไปถึงไหนแล้วคะ”
“ข่าวลือที่ว่าคุณลาภิณทะเลาะกับคุณปริมรุนแรง จนพลั้งมือทำให้คุณปริมตาย จริงรึเปล่าครับ”
“ผมเป็นแค่ตำรวจชั้นผู้น้อยนะครับ ให้สัมภาษณ์อะไรไม่ได้” นวัชบอก “ผลชันสูตรก็ยังไม่ออก ใจเย็นๆ รอท่านผู้บัญชาการแถลงข่าวดีกว่านะครับ ขอบคุณครับ” นวัชรีบเดินเลี่ยงไป
นักข่าวต่างหงุดหงิดและเสียดายที่ไม่ได้ข่าวจึงหันไปจับกลุ่มหารือกัน

โทรศัพท์มือถือของลาภิณกำลังสั่นพร้อมแสดงสายเรียกเข้าแต่ไม่มีเสียงเรียกเข้า ลาภิณเดินเข้ามาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดตัดสาย เขาถอนใจออกมาแล้วมีสีหน้าซึมเศร้า เพราะทั้งช็อคเรื่องปริมแล้วก็เครียดกับข่าวที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของลาภิณก็สั่นขึ้นมาอีก ลาภิณดูเบอร์โชว์แล้วรีบกดรับ
เจติยากำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถือกับลาภิณอยู่ที่มุมหนึ่งของบริษัทนิราลัย
“เจรู้ข่าวแล้วนะคะเจไม่เชื่อหรอกค่ะ ไม่มีสาเหตุอะไรเลยที่คุณต้องทำแบบนั้น”
“ขอบใจมากเจ” ลาภิณบอก
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อคะ”
ลาภิณถอนใจออกมา “ก็คงต้องรอผลชันสูตรก่อน เพราะฉันไม่มีพยาน” ลาภิณมีสีหน้าเป็นห่วงขึ้นมา “ตอนนี้ข่าวกำลังดัง เธออย่าเพิ่งติดต่อกับฉันเลยนะ ฉันไม่อยากให้เธอถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้อง เดี๋ยวจะเสียชื่อไปด้วย”
เจติยาหน้าขรึมลง “แต่ถ้าคุณมีอะไรให้เจช่วย ก็บอกได้เลยนะคะ เจไม่กลัวเสียชื่อหรอกค่ะ ถ้ามันจะช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของคุณได้”
ลาภิณซึ้งใจ “ขอบใจมากที่เธอยืนอยู่ข้างฉันมาตลอด” ลาภิณพูดจริงจัง “แต่ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้เธอต้องมาเสียชื่อเพราะฉันเด็ดขาด”
เจติยายิ้มปลื้มใจที่ลาภิณให้เกียรติเธอขนาดนี้
ทันใดนั้นก็มีลมหนาววูบพัดผ่านเจติยา เธอหนาวสะท้านจนต้องหันไปมองข้างๆ ปลายผมเจติยาถูกยกลอยขึ้นช้าๆ เจติยาสะดุ้งเฮือกหันมองด้านหลังอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่เห็นใคร ปลายผมเจติยาตกลงที่เดิม
“ทำไมเงียบไปล่ะเจ” ลาภิณถาม
เจติยาตัดบท “เออ เจไปทำงานก่อนนะคะ” เจติยากดตัดสายไป
เจติยาหันมองไปรอบตัวแต่ก็ไม่มีใคร เธอจึงเดินกลับไปทางห้องแต่งศพ เงารางๆ ช่วงขาของผู้หญิง 2 ข้างเดินเท้าเปล่าตามติดเจติยาไปทุกฝีก้าว

พิสัยกำลังหัวเราะสะใจอยู่ในห้องที่คอนโด โดยมีปราณยืนหน้าบึ้งอยู่ใกล้ๆ
พิสัยหัวเราะสะใจ “ตอนแรกฉันก็เสียดายหรอกนะที่นังปริมมันตาย แต่จะว่าไปนังนี่มันใช้ประโยชน์ได้คุ้มจริงๆ ขนาดตายไปแล้ว ยังใช้แต่งเรื่องไปเล่นงานไอ้ต้นได้อีก”
ปราณส่ายหน้าเบื่อๆ “แกมีจิตริษยาลาภิณจนเกินไป ไม่ว่าจะทำอะไรก็ก้าวไม่พ้นลาภิณซะที แกถึงต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้”
พิสัยอารมณ์เสีย “แล้วทีแกล่ะ วันๆ แกก็คิดถึงแต่ไอ้กล่องเฮงซวยนั่นอย่างเดียว ไม่เห็นเคยจะช่วยฉันจริงจังซะที”
พิสัยถอนใจด้วยความเซ็งก่อนจะหันขวับไป ชูจิตยืนขวางและจ้องพิสัยด้วยสายตาอาฆาต โกรธจัด
แต่พิสัยไม่เห็นจึงเดินทะลุร่างชูจิตเดินเข้าห้องนอนไป
ปราณยิ้มเยาะใส่ชูจิต “เธอไม่เหลือพลังอะไรอีกแล้ว”
ชูจิตมองปราณด้วยสายตากลัวๆ
“คำร้องขอของเธอที่มีต่อกล่องรากบุญมันเป็นจริงไปแล้ว ตอนนี้เธอก็แค่วิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด เพราะห่วงลูกก็เท่านั้นเอง” ปราณว่า
ชูจิตโมโห “ที่ฉันไม่ไปเกิด เพราะฉันจะอยู่รอดูความพินาศของแก กับไอ้น้องเลวของฉันต่างหาก”
ปราณหัวเราะเยาะ “แค่จะปรากฏร่างให้คนเห็นยังทำไม่ได้เลย หวังสูงเกินไปรึเปล่า”
ปราณมองชูจิตด้วยสายตาดูถูกก่อนจะเลือนหายไป ทิ้งให้ชูจิตยืนกระวนกระวายด้วยความร้อนใจอยู่คนเดียว

เจติยานั่งปรับทุกข์กับทวีที่ห้องไอซียู เจติยาจับมือทวีเอาไว้
“ลุงเป็นแบบนี้ก็ดีไปอย่างนะคะ ไม่ต้องมารับรู้เรื่องวุ่นวายอะไรอีก” เจติยาถอนใจออกมา
ทวีมีแววตาหวาดกลัวขึ้นมาพร้อมกับมองไปด้านหลังของเจติยา
เจติยาจับมือทวีพร้อมพูดไปด้วย “โอ้เอ้เข้มแข็งขึ้นเยอะเลยนะคะลุง ไม่ขี้กลัวเหมือนเดิมแล้ว ช่วยแบ่งเบางานให้เจได้เยอะเลย ลุงสบายใจได้แล้วนะคะ”
เจติยาสังเกตแววตาทวีดูหวาดกลัวและมองไปด้านหลังเธอ
“มีอะไรรึเปล่าคะ”
เจติยาหันมองไปด้านหลังแต่ก็ไม่เห็นใคร
“ลุงพักผ่อนเถอะค่ะ เจจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนลุงอีกซักพักนึง” เจติยายิ้มให้ทวี ก่อนหยิบตำราเรียนขึ้นมาอ่านทบทวน
ทวีพยายามจะเตือนเจติยาแต่ขยับปากขยับตัวไม่ได้ แววตาของเขาสั่นระริก น้ำตาไหลออกมาทางหางตาด้วยความหวาดกลัว วิญญาณปริมยืนประกบเกาะติดเจติยาอยู่ที่ด้านหลังตลอดเวลา

เจติยาเดินเข้าซอยบ้านมาตามลำพังตอนหัวค่ำ แสงไฟจากถนนสาดลงมาทำให้เห็นเงาเจติยาพาดไปข้างๆ ระหว่างที่เจติยาเดินอยู่ จู่ๆ เงาเจติยาก็แตกเป็นสองเงา เงาหนึ่งเดินนำเงาเจติยาไปข้างหน้า เจติยาเดินใช้ความคิดไปเพลินๆ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาดำของคนเดินนำหน้าตนไปทั้งๆ ที่ไม่มีคนเดินแซงเธอไปสักคน เจติยาเพ่งมองที่เงาดำนั่น ทันใดนั้นเงานั้นก็ดีดขึ้นมายืนกลายเป็นผีปริมในระยะประชิดทันที
เจติยาร้องด้วยความตกใจแล้วผงะถอยไป ปริมหน้าซีดเผือด จ้องเจติยาด้วยสายตาเกลียดชัง
เจติยาเริ่มตั้งสติได้ “คุณต้องการความช่วยเหลืออะไรคะ”
ปริมยิ้มเหี้ยม “คนอย่างฉันน่ะเหรอ จะลดตัวมาขอความช่วยเหลือจากแก” ปริมพุ่งเข้าหาเจติยาแล้วหายไป
เจติยาวูบหลบ ปริมมาปรากฏขึ้นด้านหลังเจติยา
“ฉันมาเอาชีวิตแก” สีหน้าแววตาของปริมทั้งดุดันและอาฆาต
เจติยาจะดีดตัวหนีแต่ก็ทำไม่ได้ เจติยาอึดอัดและหายใจไม่ออก คล้ายกำลังถูกบีบคอ
“ตายซะเถอะ” ปริมมีแววตาอาฆาต พร้อมกับปาดมือเข้าบีบคอเจติยาอีก
พอปริมสัมผัสตัวเจติยาก็มีแสงสว่างวูบขึ้นที่ตัวของเจติยา ปริมถูกแสงสว่างจนปวดแสบปวดร้อน ต้องรีบชักมือกลับด้วยความหวาดกลัว
เจติยาแปลกใจ เธอคิดทบทวนอยู่ครู่นึงก่อนจะฉุกคิด “ฉันรู้แล้ว คุณมาหาฉันได้ ก็เพราะอำนาจของกล่องรากบุญ แต่เพราะฉันเป็นเจ้าของกล่อง คุณเลยทำอันตรายฉันไม่ได้”
ปริมเจ็บแค้นใจ เธอจ้องเจติยาด้วยสายตาอาฆาตแล้วจะเข้ามาทำร้ายอีก แต่ทันทีที่ปริมแตะต้องตัวเจติยาก็แสบร้อนแทบไหม้จนทนไม่ได้ต้องรีบหายตัวหนีไป เจติยายังรู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง

ลาภิณขับรถออกจากบ้านเพื่อไปทำงานตอนเช้าวันใหม่ รถของลาภิณขับออกมาได้ไม่ไกลนัก ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด ลาภิณตกใจมากรีบเบรคทันที แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังล้มลงไป ลาภิณรีบลงจากรถไปดูอาการเห็นผู้ชายคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น
ลาภิณตกใจมาก “เป็นยังไงบ้างคุณ”

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 5 ธ.ค. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager