@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 10 วันที่ 10 ม.ค. 56

อ่านละคร ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 10 วันที่ 10 ม.ค. 56

เมฆเปิดประตูเข้ามาในห้องที่ตะวันฉายเคยนอนแล้วมองรอบๆห้องที่ว่างเปล่า เขานึกถึงตอนที่ตะวันฉายเคยอยู่ในห้องนี้ ตอนที่เขาเคยมาแกล้งก่อกวนตะวันฉายซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข
เมฆยิ้มให้กับความทรงจำนั้นก่อนจะเดินมาลูบเตียงที่ตะวันฉายเคยนอนแล้วเขาก็นั่งลง
อิงฟ้าแอบมายืนมองอยู่ที่ประตู เธอเห็นท่าทางเมฆที่อาลัยอาวรณ์ตะวันฉายแล้วก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ แต่เธอก็ต้องปั้นหน้ายิ้มแย้ม
อิงฟ้าเดินเข้ามาในห้อง “เมฆมาอยู่นี่เอง ทำอะไรอยู่เหรอ?”

เมฆแกล้งพูดเฉไฉไป “ไม่มีอะไร แค่มาเช็คห้องว่าซันมันทำอะไรเสียหายรึเปล่า... ฟ้ามีอะไร?”
“ฟ้ามาตามไปกินกลางวัน วันนี้ฟ้าลงมือทำของโปรดให้เมฆเลยนะ”
อิงฟ้าทำร่าเริงและยิ้มแย้มแจ่มใส เมฆจึงต้องฝืนยิ้มตอบ



อิงฟ้ากำลังตักแบ่งสปาเก็ตตี้ในจานขนาดใหญ่ให้เมฆกับหมอกที่นั่งร่วมโต๊ะ เธอพยายามทำตัวร่าเริงเต็มที่
“เป็นไง น่ากินไหม อร่อยด้วยนะ กินกันเลย!”
“แม่ถามพ่อหรือยังครับ” หมอกถามขึ้น
อิงฟ้ายิ้ม “ถามอะไรจ๊ะ”
“ถามว่าพี่ซันไปอยู่ที่ไหนไง แม่บอกว่าจะถามพ่อให้”
อิงฟ้าชะงักแล้วยิ้มเจื่อนไปทันที เธอเหลือบมองเมฆ
เมฆพูโกับหมอก “ทำไมเหรอครับ หมอกจะรู้ที่อยู่ของพี่ซันไปทำไม”
“หมอกอยากให้แม่ไปตามพี่ซันกลับมา”
“แต่แม่ว่าซันเค้าคงไม่ยอมกลับมาแล้วล่ะ เพราะถ้าเค้าอยากอยู่ที่นี่ เค้าก็ต้องไม่ไป” อิงฟ้ารีบเปลี่ยนเรื่อง “ไม่เอาแล้ว ไม่คุยเรื่องคนอื่นแล้วนะครับ กินสปาเก็ตตี้ดีกว่า ร้อนๆจะได้อร่อย เสร็จแล้วก็ต่อด้วยของหวาน เป็นเค้กช็อคโกแลท ดีไหมครับ”
เมฆกับหมอกฝืนใจกินอาหารด้วยอาการเจื่อนๆเพราะอดคิดถึงตะวันฉายไม่ได้ อิงฟ้าเหลือบมองทั้งสองด้วยอาการหนักใจ แต่เธอก็ต้องแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้

เมฆกับหมอกออกมารดน้ำต้นผักกาด ทั้งสองต่างก็เหลือบมองไปที่แปลงผักของตะวันฉายที่ตอนนี้เจ้าของไม่อยู่แล้ว เมฆถอนใจแล้วจะเข้าไปรดน้ำผักของตะวันฉาย แต่หมอกรีบห้ามไว้
“พ่อครับ เดี๋ยวก่อน!” เมฆชะงัก “หมอกนึกอะไรออกแล้ว เราไม่ต้องรดน้ำผักให้พี่ซัน พอมันใกล้จะตายเราจะได้ตามพี่ซันกลับมาดูแลมันไงครับ”
เมฆชะงักแล้วฝืนยิ้ม “ก็ได้ ตกลงตามนี้”
หมอกดีใจแล้วกลับไปรดน้ำผักของตัวเองอย่างมีความหวัง ส่วนเมฆได้แต่ถอนใจ
เมฆพูดเบาๆ “หมอกเอ๊ย คนทั้งคนเค้ายังไม่คิดจะดูดำดูดี แล้วเขาจะมาแคร์อะไรกับต้นผักกาด”
อิงฟ้ายืนมองเมฆกับหมอกจากในบ้านด้วยสีหน้าไม่สบายใจ สักพักเก่งก็ยกจานสปาเก็ตตี้ที่ยังเหลืออยู่เยอะเข้ามา
“คุณอิงฟ้าครับ จะทำไงกับสปาเก็ตตี้ที่เหลือดีครับ”
อิงฟ้าตอบหน้านิ่ง “ทิ้งไป”
เก่งตกใจ “แต่มันเหลือตั้งเยอะนะครับ ทิ้งไปเสียดายแย่ ไว้อุ่นกินเย็นนี้ดีไหมครับ”
อิงฟ้าหันไปมองเก่งหน้าดุๆ แต่ยังพูดนิ่งๆ “ทิ้งไป”
เก่งกลัว “ครับ ทิ้งครับ”
อิงฟ้าเดินออกไป เก่งมองตามแล้วพูดเบาๆ
“เดี๋ยวจะทิ้งลงท้องไอ้เก่งไม่ให้เหลือเลย” เก่งมองสปาเก็ตตี้แล้วรู้สึกว่าน่ากิน “ลาภปากไอ้เก่ง” เก่งยิ้ม

ตะวันฉายเดินทอดอาลัยอยู่ตามลำพัง ครู่หนึ่งเกริกไกรกับสายรุ้งที่กำลังตามหาลูกสาวอยู่ก็มาเจอ
“ซัน มาเดินเล่นอยู่นี่เอง กลับเถอะลูก ไปกินข้าวกัน” สายรุ้งชวน
“ซันยังไม่ค่อยหิวเลยค่ะ พ่อกับแม่กินก่อนเถอะค่ะ”
“นี่พ่อถามจริงๆเหอะ เกิดอะไรขึ้นที่กรุงเทพกันแน่ ทำไมกลับมาแล้วทำเหมือนแบตอ่อนตลอดเวลา หรือว่าต้องเอาสายชาร์จมาเสียบก้น”
สายรุ้งตีแขนเกริกไกร “คนนะคุณ ไม่ใช่มือถือ!”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ซันแค่... แค่เหนื่อยๆ”
“ไม่ให้เหนื่อยได้ไง เดินมาตั้งไกล โน่น รีสอร์ทเราอยู่ปู้นนน...” เกริกไกรชี้ไป
สายรุ้งตีเกริกไกรอีก “เอ๊ะคุณนี่ยังไงนะ เป็นเล่นตลอด” สายรุ้งคุยกับตะวันฉาย “แน่ใจนะลูก ว่าไม่ได้เป็นอะไร”
เกริกไกรชิงตอบแทนซัน “จะเป็นอาร้ายยยย มียุทธการมาคอยดูแลอยู่ทั้งคน จริงไหมเจ้าซัน”
ตะวันฉายถอนใจ “รู้ละ สงสัยเพราะพี่ยุทธมาอยู่นี่ซันเลยป่วย” เกริกไกรอ้าปากจะเถียงแต่ตะวันฉายพูดต่อ “แถมมีกองเชียร์พี่ยุทธตามมาเชียร์อีก ซันเลยยิ่งป่วย!”
“นี่...” เกริกไกรจะเถียงอีก
ตะวันฉายรีบขัดขึ้น “ถ้าไม่ให้ซันอยู่คนเดียว สงสัยซันต้องขอยืมสายชาร์จพ่อแล้วล่ะค่ะ แต่ไม่ได้เอามาเสียบก้นนะคะ เอามามัดคอ”
ตะวันฉายทำหน้าเซ็งแล้วเดินหนีไป
เกริกไกรพูดกับสายรุ้ง “เป็นไงล่ะ เห็นรึยังว่าไม่มีอะไรต้องห่วง เพราะเจ้าซันมันยังแสบเหมือนเดิม”
สายรุ้งมองที่ตะวันฉายแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย

ยุทธการวางกระเป๋าเดินทางแล้วไหว้ลาเกริกไกรกับสายรุ้ง
“ไหนว่าลางานมาแล้วไงยุทธ แล้วทำไมอยู่ได้แป๊บเดียวก็จะกลับแล้ว” สายรุ้งถาม
“ผมก็อยากอยู่นานกว่านี้ครับ แต่ทางนั้นโทรมาตามว่ามีงานด่วน เลยต้องกลับก่อนกำหนด”
“ยังไงงานต้องมาก่อน ยุทธก็มาช่วยดูแลเจ้าซันแล้ว เดี๋ยวอาส่งเจ้าซันกลับไปช่วยดูแลยุทธบ้างแล้วกัน”
ตะวันฉายทำหน้าเซ็ง แต่เกริกไกรยิ้มขำ
“คุณนี่ ลูกเพิ่งกลับมา จะให้ไปอีกแล้วเหรอ” สายรุ้งถาม
“นั่นสิคะ ให้คุณซันกลับไปกรุงเทพอีกเท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า กว่าจะจับตัวกลับมาได้อีกคงยาก... สู้ให้อ้อไปเป็นตัวแทนดูแลคุณยุทธแทนดีกว่า” อ้อส่งตาหวานให้ “รับไหมคะคุณยุทธ”
ยุทธการยิ้ม “ตอบโดยไม่ต้องคิด ไม่รับครับ!”
อ้อแกล้งงอน ทุกคนหัวเราะขำ
“พี่ยุทธรีบไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันเรือ” ตะวันฉายบอก
ยุทธการหันมาบอกเกริกไกรกับสายรุ้ง “ผมไปนะครับ”
หลังจากร่ำลากันแล้ว ตะวันฉายก็เดินออกมาส่งยุทธการที่หน้ารีสอร์ท

ตะวันฉายเดินมาส่งยุทธการด้านหน้ารีสอร์ท ยุทธการหันมาลาตะวันฉาย
“ดูแลตัวเองนะซัน พี่เสร็จงานแล้วจะมาหาใหม่”
“ซันไม่เป็นไรหรอก พี่ยุทธไปเถอะ ไม่ต้องห่วง”
ยุทธการจะหันไป พอดีเห็นเชือกรองเท้าหลุดเขาจึงก้มลงนั่งผูก เท้าของลูกน้องเฮลมุททั้งสองคนเดินเข้ามาทางยุทธการ แต่ยุทธการก้มลงผูกเชือกรองเท้าอยู่ทำให้ไม่เห็นทั้งสอง ลูกน้องทั้งสองเดินผ่านไป ยุทธการผูกเชือกรองเท้าเสร็จจึงเงยหน้าขึ้นมา
ยุทธการพูดกับตะวันฉาย “พี่ไปนะ”
ตะวันฉายยิ้มให้ ยุทธการหิ้วกระเป๋าแล้วเดินไป

ตะวันฉายเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วถอนหายใจ เธอเหลือบเห็นชุดผู้ชายที่เคยปลอมตัวไปอยู่ในบ้านเมฆแล้วก็สะท้อนใจ ตะวันฉายเดินไปเปิดกระเป๋าแล้วหยิบวิกกับแว่นตาออกมามองก่อนจะยิ้มเศร้า แล้วถอนใจ ตะวันฉายเอื้อมมือไปวางวิกกับแว่นตาที่โต๊ะ พอดีสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นปฏิทินแล้วก็ชะงัก ตะวันฉายขีดดอกจันทร์ไว้ที่วันที่ปลายเดือนในปฏิทินพร้อมข้อความ “กำหนดส่งนิยาย”
ตะวันฉายตกใจ “กำหนดส่งนิยายประกวดปลายเดือนนี้ ตายแล้ว!!”

ตะวันฉายเปิดเครื่องด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เธอวางถ้วยกาแฟและแก้วน้ำไว้ใกล้ๆ
“ทุกอย่างพร้อม! ลงมือเลย ตะวันฉาย เราต้องทำให้ได้!”
ตะวันฉายเริ่มลงมือแต่งนิยายต่อ
“บรรยากาศในสวนยังคงเงียบสงบ แต่จิตใจของภัตติมา ไม่ได้สงบเหมือนดอกเเดฟโฟดิลในสวน ในใจของเธอร่ำร้อง... เขาจะมาไหม เขาจะอ่านความนัยภายใต้ม่านดวงตาของเธอออกไหม....”

ภาพในจินตนาการของตะวันฉาย ตะวันฉายอยู่ในชุดสวยแฟนตาซีรับบทเป็นนางเอกนิยายที่เธอเขียนเอง ตะวันฉายเดินมองหาไปรอบๆสวน
“ภัตติมาเดินมองหาเขา ราวนกน้อยมองหากิ่งไม้ที่มันจะเกาะยึดให้หายเหนื่อย... ทันใดนั้นเอง หัวใจที่อ่อนล้าของเธอก็เริ่มเต้นแรง”
เมฆในชุดพระเอกนิยายกำลังนั่งไขว้ห้างอยู่
“เค้านั่นเอง เค้ามาจริงๆ!”
ตะวันฉายโผเข้าไปหาเมฆ
เมฆพูดเสียงเข้ม “ระวัง!”
ตะวันฉายชะงัก เมฆกระโดดเข้ามาตะปบงูที่พื้นทันที
ตะวันฉายยกมือขึ้นทาบอก “งูพิษ!”
เมฆจับงูไว้แล้วต่อสู้กับมัน งูฉกเข้ามาทางด้านซ้าย เมฆหันหัวหลบไปด้านขวา งูฉกมาด้านขวา เมฆเบี่ยงหน้าหลบไปด้านซ้าย
ตะวันฉายลุ้นและเป็นห่วง “นายเมฆ ระวัง!”
เมฆจับหางงูเหวี่ยงแล้วฟาดลงกับพื้น
เมฆพูดเสียงเข้ม “มันตายแล้ว”
“คุณช่วยชีวิตชั้นไว้อีกแล้ว”
“เห็นคุณอยู่ในอันตราย จะให้ผมดูดายได้ยังไง”
เมฆหันมายิ้มเท่ห์ ตะวันฉายสบสายตา เมฆมองเลยไปทางด้านหลังตะวันฉายแล้วก็ชะงักไป ตะวันฉายหันไปมองตาม
ที่ด้านหลังตะวันฉาย มีชายหนุ่มก้ามปูยืนอยู่ เมฆวิ่งผ่านตะวันฉายไปซบอกอันบึกบึนของเขา
“นาวิน ช่วยด้วย...” เมฆซบอกแล้วทำออดอ้อน “งู... เค้ากลัวงู...”
ตะวันฉายหน้าเหวอไปทันที

ตะวันฉายอึ้งและตกใจกับสิ่งที่ตัวเองแต่งไป
“เฮ้ย ไหงเป็นเงี้ย!”
ตะวันฉายกดแบ็คสเปซเพื่อลบสิ่งที่แต่งเมื่อครู่ทิ้งไป
“บ้าๆๆๆๆๆ บ้าที่สุดเลย อะไรของแก ไอ้ซัน!” ตะวันฉายกุมหัว “ทำไม ทำไมต้องคิดถึงแต่เกย์คนนั้น บ้าไปแล้ว ตะวันฉาย!”
ตะวันฉายลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกาฮึดฮัดด้วยความโมโหตัวเอง
เกริกไกรกับสายรุ้งยืนมองตะวันฉายอยู่ที่มุมหนึ่ง ทั้งสองเห็นตะวันฉายกำลังเต้นแร้งเต้นกาเพราะโมโหตัวเอง เกริกไกรกับสายรุ้งหันมามองหน้ากันอึ้งๆ
“ไหนว่าลูกไม่เป็นอะไรไง” สายรุ้งว่า
“ชักอาการหนักขึ้นทุกที... หรือว่าผีนักเขียนเข้าสิง” เกริกไกรสงสัย
“ผีเผออะไรกัน คุณนี่! สงสัยลูกไปเก็บข้อมูลเขียนนิยายจนข้อมูลล้นเลยเพี้ยนไปแล้ว”
เกริกไกรกับสายรุ้งมองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง

อ้อมายืนเคาะประตูห้องเกริกไกรกับสายรุ้งด้วยท่าทางกลัวๆ
“คุณเกริกไกร คุณสายรุ้งคะ” อ้อเคาะห้อง “คุณเกริกไกร คุณสายรุ้ง...”
สักพักประตูก็เปิดออกมา เกริกไกรกับสายรุ้งมาเปิดประตูในสภาพงัวเงียเพราะเพิ่งตื่น
“อะไรอ้อ ดึกดื่นป่านนี้ ไม่หลับไม่นอนหรือไง” เกริกไกรถาม
“อ้อก็อยากจะนอน... แต่... แต่มันมีเสียงอะไรไม่รู้ค่ะ อ้อว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลในรีสอร์ทเราแน่ๆ”
“ท.. ทำไมเหรออ้อ มีอะไร” สายรุ้งใจไม่ดี
“มันเหมือนมีสิ่งลึกลับ แล้วเมื่อกลางวัน อ้อได้ยินคุณสองคนพูดอะไรเรื่องผีๆ”
“ฮึ้ย! นึกว่าเรื่องอะไร ไปเลย ไปนอนเลยอ้อ ปลุกฉันขึ้นมาพูดเรื่องอะไรไร้สาระ เดี๊ยะ โดนตัดเงินเดือน” เกริกไกรจะเดินกลับเข้าห้อง
“เดี๋ยวสิคะ อ้อได้ยินเสียงจริงๆนะคะ ถ้าไม่ใช่ผีก็ต้องมีใครซักคนมาแอบทำอะไรมิดีมิร้ายในรีสอร์ทเราแน่ๆ”
“ไร้สาระน่ะ” เกริกไกรว่า
“เดี๋ยวสิคุณ ไปดูหน่อยไม่ดีเหรอ”
“นั่นสิคะ เกิดมีฆาตกรต่อเนื่องหรือพวกอาชญากรแอบเข้ามาพักในรีสอร์ทเราล่ะคะ!?”
เกริกไกรชะงักไปแล้วก็มีสีหน้าครุ่นคิด

เกริกไกร สายรุ้ง และอ้อแอบย่องเข้ามา ทั้งสามได้ยินเสียงของมีคมกรีดกับวัตถุบางอย่างซึ่งฟังแล้วน่าขนลุก
อ้อกลัว “นั่นไงคะ เห็นรึยัง อ้อไม่ได้โกหก”
สายรุ้งหน้าเสีย “เสียงอะไรน่ะคุณ?”
เกริกไกรหน้าเครียด เขาเหลือบเห็นแจกันดอกไม้จึงคว้าขึ้นมาเป็นอาวุธ เกริกไกรเดินนำสองสาวไป คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตะวันฉายเปิดทิ้งไว้บนโต๊ะ แต่ไร้ร่องรอยคน
สายรุ้งยิ่งหน้าเสีย “คอมซันนี่คุณ! แล้วลูกล่ะ!?”
เสียงวัตถุบางอย่างขีดข่วนกันดังขึ้นมาอีก เกริกไกรเป็นห่วงลูกจึงรู้สึกฮึดขึ้นมา เขาบุกเข้าไปยังที่มาของเสียงทันที
เกริกไกร สายรุ้ง และอ้อบุกเข้ามาในครัว มีร่างของคนคนหนึ่งนั่งคุดคู้อยู่ที่มุมหนึ่ง ทั้งสามเดินเข้ามาเห็นแล้วก็ชะงัก แสงจากตู้เย็นสาดส่องทำให้เห็นว่าร่างนั้นหันมา ทั้งสามเห็นว่าเป็นตะวันฉายที่อยู่ในสภาพขอบตาดำ หัวยุ่ง รอบปากมีคราบสีน้ำตาลเปรอะเปื้อนคล้ายคราบเลือด
เกริกไกร สายรุ้ง และอ้อกรีดร้องขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ ตะวันฉายมองทั้งสามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนจะยกจานเค้กช็อคโกแลทขึ้นมาแล้วเอาช้อนขูดจานจนเกิดเสียงในขณะที่ตักเค้กเข้าปาก

เช้าวันใหม่ ตะวันฉาย เกริกไกร สายรุ้ง อ้อนั่งจิบกาแฟคุยกันเนื่องจากแทบไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน
“ชักไปกันใหญ่แล้วนะเจ้าซัน เล่นเอาตกใจกันหมด เมื่อคืนน่ะ” เกริกไกรว่า
“ไหวไหมซัน พบหมอไหมลูก” สายรุ้งถาม
“ก็มันเครียดนี่คะ ซันแค่อยากจะเขียนนิยายให้จบ แต่ยิ่งเขียนยิ่งเลอะ ซันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“ก็พักก่อนสิคะคุณซัน ให้ใจร่มๆ เดี๋ยวก็เขียนได้” อ้อแนะนำ
“แต่มันจะถึงกำหนดส่งแล้ว ถ้าไม่รีบไม่ทันแน่”
“ตกลงที่เขียนเนี่ย เพราะอยากเขียนนิยาย หรือว่าเขียนแค่อยากจะส่งประกวดให้เสร็จๆไปกันแน่” เกริกไกรถาม
ตะวันฉายชะงัก
“จริงด้วย ไหนซันเคยบอกว่าไม่สำคัญที่ทำได้ แต่สบายใจที่ได้ทำไง แล้วนี่ทำไมดูไม่เห็นจะสบายใจอย่างเลย” สายรุ้งเสริม
ตะวันฉายอึ้งไป “ถูกของพ่อกับแม่... ตอนนี้ซันกำลังมองแต่ปลายทาง อยากให้มันรีบจบๆไป แต่ซันไม่ได้ชื่นชมกับทางเดินรอบข้าง ก่อนจะถึงจุดหมายเลย”
“ลึกซึ้งนะคะ” อ้อชม
ตะวันฉายรู้สึกฮึดขึ้นมา “ไม่ได้! ซันจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ซันต้องเริ่มเขียนนิยายใหม่ เราต้องเอ็นจอยกับการเขียน ไม่ใช่เร่งๆให้มันจบ!”
“ต้องให้มันได้อย่างนี้สิ ลูกแม่” สายรุ้งปลื้ม
“งั้นซันขอลางานไม่มีกำหนดนะคะ จนกว่าซันจะเขียนนิยายจบ!” ตะวันฉายเดินออกไปทันที
เกริกไกรกับสายรุ้งอึ้ง
“อ้าว เฮ้ย เอางี้เลยเหรอ!?” สายรุ้งตกใจ
“แนะนำกันดีนัก” อ้อว่า
เกริกไกรกับสายรุ้งตวัดสายตามองอ้อ
อ้อยิ้มแหย “ได้เวลางานละ ไปนะคะ” อ้อรีบเดินออกไป
เกริกไกรกับสายรุ้งส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ

ตะวันฉายเปิดคอมพิวเตอร์ใหม่ด้วยความตั้งใจที่ดีขึ้น
“ต้องเอาใหม่ ต้องทำให้ได้... ตัวหนังสือทุกตัวต้องมีความสุข...”
แต่แล้วตะวันฉายก็เห็นตัวหนังสือสีแดงที่เมฆเคยเขียนคอมเม้นท์ไว้ เธอถึงกับชะงัก
ตะวันฉายนึกถึงตอนที่เมฆพิมพ์คอมเม้นท์ให้เธอ
เมื่อนึกถึงตอนนั้นตะวันฉายก็สะท้อนใจ เธอลูบลงไปบนตัวหนังสือสีแดงที่เมฆพิมพ์คำแนะนำ แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง พอจะเริ่มต้นใหม่ ตะวันฉายก็อดแวบไปคิดถึงเมฆไม่ได้อีก

เมฆมีท่าทางหงอยๆกำลังจิ้มคีย์เปียโนทีละโน้ตตรงบริเวณเนื้อร้อง “ไม่พูดอะไรก็เข้าใจกันทุกคำ” แล้วเขาก็หยุดเล่น เมฆถอนใจแล้วหยิบไอโฟนมากดฟังเพลงที่เขากับตะวันฉายช่วยกันบันทึกไว้
เมฆหลับตาฟังเพลงสักพักก็บรรเลงเปียโนไปพร้อมกับเสียงร้องของตะวันฉายและเสียงฮัมเพลงของเขา อิงฟ้าที่แอบดูอยู่ตรงประตูมีสีหน้าไม่พอใจที่ได้ยินเสียงของตะวันฉาย
เมฆเล่นจบเพลงแล้วก็ลงมือเขียนเพลงส่วนที่เหลือต่อจากที่เคยแต่งค้างไว้ อิงฟ้าพยายามเข้ามาดึงความสนใจไปจากเมฆ
“เมฆ สอนฟ้าเล่นเปียโนมั่งสิ”
เมฆแปลกใจ “ฟ้าว่าอะไรนะ”
“ฟ้าอยากเล่นเปียโน เมฆสอนฟ้าหน่อยนะ ฟ้าจะเอาไว้เล่นให้หมอกฟัง”
“แต่ผมเคยจะสอนฟ้า แล้วฟ้าก็ไม่สนใจนี่”
อิงฟ้าเข้าไปนั่งข้างๆ เมฆ “แต่ตอนนี้ฟ้าสนแล้วนี่” อิงฟ้ามองที่คีย์เปียโน “ไหน เมฆจะให้เริ่มยังไงก่อน ตรงไหนตัวโดนะ” อิงฟ้าลองกด “ตรงนี้ หรือตรงนี้”
เมฆมองอิงฟ้าก็รู้สึกได้ว่าอิงฟ้าต้องการอะไร เขาจึงจับมืออิงฟ้าให้หยุด
“เมฆจะจับมือฟ้าสอนแบบเด็กอนุบาลเหรอ” อิงฟ้ายิ้มร่าเริง “ได้เลยค่ะคุณครู”
เมฆพยายามพูดดีๆ “อย่าพยายามเลยนะ มันไม่ใช่ ก็คือไม่ใช่”
อิงฟ้าอึ้งไปแต่ก็ยังพยายามต่อ
“แหม เมฆ อย่าเพิ่งดูถูกฟ้าสิ คนที่เพิ่งหัดเรียนดนตรีตอนโตก็มีถมไป มันอาจจะใช่สำหรับฟ้าก็ได้ แล้วฟ้าก็อาจจะช่วยเมฆทำงานได้ ไม่ต้องให้...” อิงฟ้าไม่อยากพูดถึงตะวันฉาย “..คนอื่นมาช่วย”
“ขอบคุณนะฟ้า แต่ผมขอทำงานคนเดียวดีกว่า”
อิงฟ้าเสียใจ “ถ้างั้นฟ้าก็จะอยู่เป็นกำลังใจให้เมฆอย่างเดียวก็ได้ จะวันนี้หรือวันไหน ฟ้าก็จะไม่ไปจากเมฆ”
เมฆหนักใจ “...ผมรับความรู้สึกที่เกินเพื่อนจากฟ้าไม่ได้แล้ว ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้วล่ะฟ้า” เมฆลุกขึ้นแล้วจะเดินออกไป
“เพราะซันเหรอ ที่เมฆเอาแต่ซึมเศร้านี่เป็นเพราะซันจริงๆเหรอ ตกลงนี่เมฆจะเป็น...”
“ผมจะเป็นอะไรไม่สำคัญหรอกฟ้า ไม่ต้องหาคำตอบกับเรื่องนี้หรอก ผมจะทำในสิ่งที่มีความสุข แล้วฟ้า..ก็ไม่ใช่คำตอบของผม” เมฆเดินออกไป
อิงฟ้าเสียใจ

หมอกอยู่ในชุดว่ายน้ำ ใส่ห่วงยางที่แขน คาดแว่นท่าทางเตรียมพร้อมเต็มที่ แต่กลับนั่งแกว่งขาอยู่ริมสระอย่างหงอยๆ เก่งถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินมาเห็น
“อ้าว คุณหมอก ไม่ลงสระเหรอครับ” เก่งถาม
“หมอกไม่อยากเล่นคนเดียวคับ”
“งั้นพี่เก่งเล่นเป็นเพื่อนมั้ย”
หมอกส่ายหน้า “หมอกอยากเล่นกับพี่ซัน หมอกคิดถึงพี่ซัน”
เก่งทำหน้าเศร้าตาม “พี่ก็คิดถึงซัน” เก่งมองอุปกรณ์ทำความสะอาดในมือ แล้วถอนใจก่อนจะแอบบ่น “ไม่มีมัน เราก็อู้ไม่ได้”
เก่งลงนั่งข้างๆ หมอกแล้วก็ถอนใจ ทั้งสองคอตกพร้อมกัน

จอมสยามนั่งหลับตาพริ้มเสียบหูฟังฟังเพลงของเมฆอยู่ด้วยท่าทางถูกใจมาก เมฆนั่งรอฟังคำตอบจากจอมสยามอยู่ข้างๆ จอมสยามฟังเพลงจบก็มองหน้าเมฆยิ้มๆ แล้วลุกพรวดขึ้นไปจับหน้าเมฆ ด้วยอาการลน
“ไอ้เมฆ เพลงเพราะมาก ชั้นอยากจะจูบปากแกจริงๆ”
เมฆตกใจรีบเอามือยันจอมสยามไว้ “เฮ้ย..ขอร้องๆ กรุณาเก็บจิตใต้สำนึกเอาไว้ให้ลึกสุดใจเถอะนะพี่นะ”
“ไอ้นี่ เดี๋ยวก็เจอซัดซักเปรี้ยงหรอก”
“ล้อเล่นน่า นี่พี่ชอบเพลงผมขนาดนี้เลยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ แล้วเพลงอื่นล่ะ ไม่มีแล้วเหรอ”
เมฆมีแววตาหม่นลงเพราะคิดถึงตะวันฉาย เขาส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ก็แต่งอีกสิ” จอมสยามบอก
“จะพยายาม แต่ไม่แน่ใจว่าจะแต่งได้อีกหรือเปล่า” เมฆว่า
“อ้าว อะไรของแกวะ ไม่แน่ใจอะไร พรสวรรค์ก็มี ฝีมือก็ยังไม่ตก มันยังมีอะไรที่ทำให้แกแต่งเพลงไม่ได้อีก”
“ขาดแรงบันดาลใจมั้งพี่”
“ขาดก็ออกไปหาสิวะ”
เมฆนิ่งคิด

ยุทธการนั่งกินข้าวกับนิคและเอวาที่ร้านอาหาร
“ซันเค้าก็ยังดูซึมๆอยู่นะ ก็ต้องให้เวลาเค้าทำใจหน่อย แต่ยังไงพี่ก็จะไปดูแลเค้าเรื่อยๆ เอวากับนิคก็โทรหาซันบ่อยๆล่ะ เค้าจะได้ไม่เหงา”

อ่านละคร ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 10 วันที่ 10 ม.ค. 56

ตะวันฉายในม่านเมฆ บทประพันธ์โดย ภาวิน
ตะวันฉายในม่านเมฆ บทโทรทัศน์โดย
กฤษณ์ มงคลเกษม,พิมพ์พชา รุ่งประพันธ์,วิวัฒน์ กฤษณาเวศน์
ตะวันฉายในม่านเมฆ กำกับการแสดงโดย ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ
ตะวันฉายในม่านเมฆ ดำเนินการผลิต ณัฐพงศ์ เหมือนประสิทธิ์เวช
ตะวันฉายในม่านเมฆ ผลิตโดย บริษัท เมคเกอร์ กรุ๊ป จำกัด
ที่มา manager